ตำนานเทพเจ้าซุส

ตำนานเทพเจ้าซุส ราชาแห่งทวยเทพผู้ปกครองเขาโอลิมปัส

ตำนานเทพเจ้าซุส (Zeus) เป็น ราชาแห่งทวยเทพผู้ปกครองเขาโอลิมปัส (Olympus) และ เทพแห่งท้องฟ้า และ ฟ้าร้อง ของตำนานเทพปกรณัมกรีก มี อสนีบาต (Thunder bolt) เป็นอาวุธประจำกาย ทรงเกราะทองประกายวาววับ ซึ่งเกราะทองนี้ไม่มีมนุษย์สามัญจะทน มองได้ แม้แต่ทวยเทพด้วยกันเอง หากไปเพ่งมองแสงเจิดจ้า ของเกราะทองเข้า ก็ย่ำแย่เช่นกัน ทรงมีพญานกอินทรีเป็นนกเลี้ยง ต้นโอ๊คเป็นพฤกษาประจำองค์ มีมหาวิหาร และศูนย์กลางศรัทธา ในตัวพระองค์อยู่ที่เมืองโอลิมเปีย สัญลักษณ์ประจำพระองค์คือ โคเพศผู้ นกอินทรี และต้นโอ๊กเทพแห่งสายฟ้า

ตำนานเทพเจ้าซุส

ตำนานเทพเจ้าซุส โอรสองค์สุดท้าย

พระองค์เป็นพระโอรสองค์สุดท้องของ ไททันโครนัส (Cronus) และ ไททันรีอา (Rhea) ในหลายๆ ตำนานกล่าวว่า พระองค์ได้สมรสกับเทพีเฮร่า (Hera) แต่ก็มีสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองดอโดน่า (Dodona) ที่อ้างว่า คู่สมรส ของเทพซุสแท้จริงแล้วคือ เทพีไดโอเน่ (Dione)

นอกจากนี้มหากาพย์อีเลียด (Illiad) ยังกล่าวไว้ว่า เทพซุส เป็นพระบิดา ของเทพีอโฟรไดต์ (Aphrodite) ที่กำเนิดจากเทพีไดโอเน่อีกด้วย เทพซุส มักมีชื่อเสียง ในพฤติกรรมนอกลู่นอกทางเรื่องชู้สาวของพระองค์ ซึ่งยังรวมไปถึง ความสัมพันธ์ กับเด็กหนุ่มนามกานีเมดี้ (Ganymede) ด้วยเช่นกัน

พฤติกรรมของพระองค์ทำให้เกิดผู้สืบเชื้อสายอยู่หลายองค์ และหลายคนด้วยกัน อาทิเช่น เทพีอาธีน่า (Athena) เทพอพอลโล (Apollo) และเทพีอาร์ทีมิส (Artemis) เทพเฮอร์มีส (Hermes) เทพีเพอร์ซิโฟเน่ (Persephone) เทพไดโอนีซุส (Dionysus) วีรบุรุษเพอร์ซีอุส (Perseus)

วีรบุรุษเฮอร์คิวลีส (Hercules) เฮเลนแห่งทรอย (Hellen) กษัตริย์ไมนอส (Minos) และเหล่าเทพีมิวเซส (Muses) ส่วนผู้สืบเชื้อสาย ที่เกิดจากเทพีเฮร่าโดยตรง ได้แก่เทพเอรีส (Ares) เทพีเฮบี (Hebe) และเทพเฮฟาเอสตัส (Hephaestus) นามของพระองค์ในตำนานเทพปกรณัมโรมันคือ เทพจูปิเตอร์ (Jupiter) และนามในตำนานอีทรูสแคนคือเทพไทเนีย (Tinia)

ในวัยเยาว์ของพระองค์โดนพ่อบังเกิดเกล้าเรียกเอาไปกิน หวังไม่ให้เยาวเทพเติบโตขึ้นมาวัดรอยเท้า เคราะห์ดีที่แม่ของท่านไหวตัวทันเอาไปฝากแพะเลี้ยงเอาไว้ จนกระทั่งเติบโตหาญกล้ามาทวงบัลลังก์ กับพ่อ ต้องรบราฆ่าฟันพี่น้อง รวมทั้งพ่อของตัวเองด้วย

หลังจากยึดอำนาจได้เบ็ดเสร็จแล้ว ซุสก็ขึ้นครองบัลลังก์ รั้งอำนาจเต็มตลอด 3 ภพ คือ สวรรค์ พิภพ และ บาดาล แต่ซุสก็ตระหนักดีว่า การที่จะปกครองทั้ง 3 ภพ และ ทะเลให้ทั่วถึงมิใช่เรื่องง่าย หาใช่ภาระเล็กน้อยไม่ เพื่อป้องกันการแก่งแย่ง และกระด้างกระเดื่อง จึงจัดสรรอำนาจ ยอมยกให้เทพต่างๆ มีเอกสิทธิในการปกครองอาณาเขตดังนี้

  • เนปจูน หรือ โปเซดอน ได้ครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแม่น้ำทั้งปวง
  • พลูโต หรือ ฮาเดส เป็นเจ้าแห่งตรุทาร์ทะรัส และ แดนบาดาลทั้งหมด อันรัศมีของแสงอาทิตย์ ไม่เคยส่องลอดไปถึงเลย
  • ยูปิเตอร์ หรือ ซุสเองปกครองทั้งสวรรค์ และพิภพ แต่ก็มีอำนาจที่จะสอดส่องดูแล กิจการทั่วไปในเขตแดน ของเทพภราดรทั้งสองได้บ้าง

บทสรุปเรื่องตำนานเทพเจ้าซุส

ความสงบราบคาบ บังเกิดขึ้น ตลอดสวรรค์ และพิภพเทพทั้งหลาย หากกล่าวถึงบทบาทของไท้เทพซุสแล้ว ต้องยอมรับว่า มีบทบาทขัดแย้งในองค์เองมากที่สุดในบรรดาเทวานุเทวะ ด้วยกันเนื่องจากทรงเป็นมหาเทพผู้ทรงอำนาจสูงสุด และ มีผู้เคารพนับถือโดยทั่วไปเป็นที่ยำเกรงของสามโลก

ทรงไว้ซึ่งฤทธิ์อำนาจ ล้นฟ้าล้นแผ่นดิน แต่กลับทรงมีอุปนิสัยเหมือนบุรุษหนุ่มธรรมดา ๆ บางคน นั่นคือ ความเกรงใจ ที่มอบให้แก่มหาเทวี ฮีร่า ชายาของ ไท้เธออย่างมาก หากพูดกันตามประสา ก็คือ “กลัวเมีย” และสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะ ความเจ้าชู้ที่มีอยู่ในตัวมหาเทพซุสนั่นเอง

ความขัดแย้งอีกประการหนึ่งที่มีอยู่ในตัวมหาเทพองค์นี้ คือ แม้ว่าไท้เธอจะมีอำนาจสูงสุดทั่วสามภพ แต่ไม่อาจ ใช้อำนาจของ ตนไปแตะต้องเทพองค์หนึ่งได้ ทั้ง ๆ ที่เทพองค์นั้นก็เป็นเพียงเทวะชั้นรอง และไม่สามารถ มาประชันขันแข่งกับซุสได้ เทพ องค์นั้นมีนามว่า ชะตาเทพ (Fate) แสดงว่าไม่มีผู้ใดเลย

แม้แต่เหล่าทวยเทพ จะหาญสู้ หลีกเลี่ยง หรือก้าวก่ายกับชะตาชีวิตได้ ด้วยเหคุนี้การที่ มหาเทพซุสมีอะไรแย้ง ๆ กันในองค์เอง อาจเป็นเพราะชาวกรีกโบราณที่สร้าง เหล่าทวยเทพ ขึ้นนับถือ มีความเป็นนักปรัชญาอยู่เต็มตัว เขาจึงสร้างทวยเทพของเขาให้ละม้ายแม้นกับ มนุษย์ปุถุชน มีทั้งข้อดี และจุดบกพร่อง

คุณงามความดีอันสำคัญของมหาเทพซุสเป็นอีกอย่างหนึ่งที่บ่ง บอกว่า ผู้ที่เคารพนับถือ เป็นนักปราชญ์มากกว่านักสงคราม ก็คือ ซุสทรงรักสัจจะและความเป็น ธรรมอย่างที่สุด ทรงเกลียดชังคนโกง และคนโกหกอย่างที่สุด

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเพื่อถวายแด่ พระองค์นักกีฬา จึงต้องแข่งกันอย่างตรงไปตรงมา ในยามโกรธเกรี้ยว และต้องลงทัณฑ์ต่อความผิดเทพซุสก็โหดใช่เล่น เช่น ตอนโพรเมธุสขโมย ไฟจากสวรรค์ มาให้มนุษย์ พระองค์ตามล่าจนได้ตัวแล้วนำโพรเมธุสฝังเข้าไปในหิน 30,000 ปี และยังได้ส่งนกอินทรีย์ มากินตับโพรเมธุสทุกวันอีกด้วย

เครดิตเว็บไซต์ : UFABET เว็บตรง

อ่านวิธีทำอาหารอื่นๆ ติดตามได้ที่ : omoide-randoseru